บ่อเจ็ดลูก มีประวัติกล่าวขานว่าในอดีตอันยาวนานยังมีชาวเลตีนแดงเผ่ามอแกนซึ่งอาศัยไม่ค่อยเป็นหลักแหล่งได้เดินทางมา ณ ที่เกาะหนึ่งซึ่งเป็นเกาะเล็กๆอยู่ทางตอนใต้ของทะเลอันดามัน และได้เดินหาน้ำดื่ม จึงเกิดเป็นตำนานเจ็ดบ่อขึ้นมา แต่จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่านั้นบอกว่ามีสามตำนานด้วยกันที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเรื่องไหนคือเรื่องที่ถูกต้องที่สุดและเรื่องใดไม่เป็นความจริง ชาวเลเมื่อเดินหาน้ำดื่มจนมาพบบ่อน้ำผุดมาจากใต้ดินจำนวน 7 บ่อด้วยกัน บ่อแรกใหญ่หน่อยเรียกกันว่าบ่อพ่อ ที่เหลือก็เป็นบ่อแม่และบ่อลูก ขนาดลดหลั่นกันไป เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ของเรื่องกล่าวอะไรไว้ก็ได้ดังใจ มีการร้องรำทำเพลงบ้าง นำไก่ขาวมาเชือดบ้างเพื่อแก้บนอีกนัยหนึ่งก็ว่าเมื่อชาวเลต้องการน้ำก็ได้ทำการขุดบ่อน้ำขึ้นมา 1 บ่อ ใช้มาตลอดจนกระทั่งมีลูกมาปรึกษาหารือจนมีข้อสรุปว่าแต่ละคนขุดบ่อมาคนละบ่อ ขุดใกล้ๆกับพ่อนี่แหละ จาก 1 บ่อ ก็เป็น 7 บ่อ ยังมีอีกตำนานที่บอกว่าชาวเลเมื่อได้ร้อนแรมมาพักที่เกาะแห่งนี้ก็ได้ตั้งรกรากที่นี่ และขุดบ่อน้ำเพื่อใช้ บ่อแรกก็ขุดพบว่าน้ำเค็มใช้ไม่ก็ขุดต่ออีกก็เค็มอีก จนขุดถึงบ่อที่ 7 ปรากฏว่าน้ำจืด จึงได้ใช้กันเรื่อยมา ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองมีชายคนหนึ่งเดิมเป็นคนในพื้นที่บ้านตะโละใส่ชื่อว่านายอับดุลรอหมาน ปากบารา มีอาชีพทำการค้ากับรัฐปีนังสินค้าก็จะมี แป้ง สบู่ น้ำตาล ได้เข้ามาอาศัยที่แห่งนี้ ด้วยเป็นคนที่มีความรู้ด้านศาสนาอิสลามก็เป็นผู้บุกเบิกสร้างมัสยิดขึ้นมาและได้สอนให้กับชาวเลที่อาศัยอยู่ก่อนด้วย และดูแลความสงบของที่นี่ อยู่มาระยะหนึ่งก็ได้ชักชวนเครือญาติมาอยู่ด้วยคนที่เพิ่มขึ้นทำในชาวเลต้องอพยพจากเกาะแห่งนี้หาที่อยู่อาศัยใหม่เพราะพวกเขาไม่ชอบที่มีคนเยอะๆ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 นายอับดุลรอหมาน ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุน(เทียบกับปัจจุบันคือกำนัน)และได้รับพระราชทานนามสกุล เป็น ขุนบารา บุรีรักษ์ ท่านได้ขึ้นปกครองที่นี่ และได้เรียกสถานที่แห่งนี้ตามสัญลักษณ์ ว่าตาลากาตูโหย๊ะ ซึ่งเป็นภาษามาลายู (ตาลากา แปลกว่า บ่อ / ตูโหย๊ะ แปลกว่า 7 แปลรวมกันว่า บ่อเจ็ดลูก) ไปขึ้นกับการราชการเพื่อเป็นชื่อเรียกหมู่บ้าน แต่ชื่อเรียกยากจึงเปลี่ยนเป็นชื่อภาษาไทยว่า บ้านบ่อเจ็ดลูก มาจนถึงปัจจุบัน ขุนบารา บุรีรักษ์มีลูกสาวทั้งหมด 4 คน ไม่มีทายาทผู้สืบสกุล ทำให้นามสกุลบุรีรักษ์ขาดหายไป ปัจจุบันยังมีลูกสาวอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่และอาศัยในบ้านบ่อเจ็ดลูก คือคนที่ 4 มีชื่อว่านางไซหนุน ถิ่นกาแบง บ้านบ่อเจ็ดลูกตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล เป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับทะเลอันดามัน คนในชุมชนยึดอาชีพประมงเป็นหลัก รองลงมาคืออาชีพค้าขาย อยู่ห่างไกลจากชุมชน ห่างจากอำเภอละงูประมาณ 18 กิโลเมตร เป็นชุมชนชนบท ชาวบ้านในชุมชนเป็นคนมีน้ำใจ เป็นกันเอง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อัธยาศัยไมตรีต่อผู้พบเห็น การเป็นอยู่เรียบง่าย ทุกคนในหมู่บ้าจะรู้จักกันหมด มีความเป็นอยู่แบบพี่น้องกัน ได้มาก็แบ่งกินกัน มีความเคร่งขัดในเรื่องของศาสนามีการสอนอัล-กรุอาน ในชุมชนมีโต๊ะครู (นักวิชาการอิสลาม) ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านศาสนา และมีการแลกเปลี่ยนกันในเรื่องศาสนา ชาวบ้านจึงใช้หลักการทางศาสนาอิสลามเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต บ้านบ่อเจ็ดลูกมีประชากร 788 คน จาก 190 ครัวเรือนนับถือศาสนาอิสลาม ชาวบ้านบ่อเจ็ดลูกประมาณ 90 % มีอาชีพประมงเป็นหลัก ใช้เรือหัวโทงออกทะเล ใช้อุปกรณ์ประมง คือ อวนปลา อวนกุ้ง ลอบ จับสัตว์น้ำตั้งแต่ริมชายฝั่ง ถึง 5 ไมล์ทะเล สัตว์น้ำที่จับได้มี ปลาทู ปลาทราย ปลาจวด หมึกและอื่นๆ ส่วนกุ้งจะเป็นกุ้งแชบ๋วย นอกจากนั้นทำไซปลาเก๋า อวนปลา(อวนถ่วง) การออกทะเลอาศัยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ฤดูกาลของสัตว์น้ำเป็นตัวกำหนดเครื่องมือประมง เปลี่ยนแปลงหมุนเวียนแต่ละปี การทำประมงของชาวบ้านเสมือนการอนุรักษ์ธรรมชาติในตัว คือ เครื่องมือของชาวประมงพื้นบ้านเป็นเครื่องมือจับสัตว์น้ำเฉพาะอย่าง เฉพาะขนาด และอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว เช่น อวนกุ้ง ได้กุ้งเป็นหลักสัตว์น้ำชนิดอื่นไม่ค่อยมี กุ้งที่ได้มีขนาดใหญ่ ช่วงมรสุม เป็นช่วงที่มีกุ้งชุกชุม ชีวิตมีความเป็นอยู่แบบหาเช้ากินค่ำ แต่คนในชุมชนบอกว่าเป็นอาชีพที่มีความสุข เพราะได้อยู่ท่ามกลาง ธรรมชาติ ส่วนหนึ่งประกอบอาชีพการเลี้ยงปลาหรือเลี้ยงหอยในกะชัง เช่น ปลาเก๋า ปลากะพง ปลาเก๋าเก (ดอกหมาก) หอยแมลงภู่ บางส่วนเลี้ยงปลาโดยการซื้อพันธุ์ปลา บางส่วนได้มาจากการดักลอบมาเลี้ยงในกระชัง เป็นอาชีพเสริมของชาวบ้านในชุมชน นอกจากการออกทะเลเพื่อจับสัตว์น้ำ สามารถสร้างรายได้ แต่บางครั้งก็ขึ้นกับราคาตลาดสินค้าสัตว์น้ำ ซึ่งไม่แน่นอน ว่างเว้นจากการทำประมงในช่วงเดือน พฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ของทุกปีมีการปลูกแตงโม ในระยะเวลา 90 วัน เป็นอาชีพเสริม ในช่วงนั้นชาวประมง จับสัตว์น้ำไม่ค่อยได้ ทะเลน้ำใส ช่วงมรสุมตะวันออก จะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงในหมู่บ้าน มีพันธุ์แตงโมที่ขึ้นชื่อ คือ พันธุ์กินรี จินตหรา แตงลาย และดำกา ชาวบ้านจะปลูกคละกันไปตามความนิยมของลูกค้า และตามความถนัดของผู้ปลูก พันธุ์แตงโมส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยมคือ พันธุ์กินรี จะให้ผลผลิตดีลูกหนึ่งหนัก 5 - 7 กิโลกรัม เนื้อแน่น เปลือกบาง รสหวาน สีแดงเนื้อเป็นทราย ราคาขายกิโลกรัมละ 8-10 บาทได้ราคาดีปีหนึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านเป็นกอบเป็นกำ เป็นรายได้เสริมของชาวบ้านบ่อเจ็ดลูกที่สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ ชาวบ้านบางส่วนจะปลูกผักไปพร้อมกับการปลูกแตงโม เช่นแตงกวา บวบ ฟักเขียว ถั่วฝักยาว เริ่มปลูกประมาณ 6 ปี เป็นช่องทางหนึ่งในการเสริมรายได้ของคนในชุมชนที่เห็นว่าแตงโมไม่สามารถปลูกซ้ำในพื้นที่เดิม จึงหมุนเวียนมาปลูกผัก ในปีต่อไปกลับมาปลูกแตงโม หมุนอย่างนี้เรื่อยไปทุกปี นอกจากนั้นเลี้ยงวัว ในที่ของตัวเอง และทุ่งเลี้ยงสัตว์ของหมู่บ้าน ที่ว่างเว้นจากการปลูกแตงโม มีวัวเลี้ยงประมาณ 80 ครัวเรือน ๆละ 4-5 ตัว และมีการจัดตั้งกลุ่มเลี้ยงวัวขึ้น มีสมาชิก 40 คน นอกนั้นมีรับจ้างทั่วไป การหาหอยขายท้ายเภาขายในช่วงฤดูกาล การเจาะหอยนางรม เพื่อเสริมรายได้ให้กับครัวเรือน
เครดิตภาพ facebook : ขนมหวานบ้านทองเอน
ชุมชนบ้านทองเอน
สถานที่ในจังหวัด: สิงห์บุรี
รีวิวสถานที่
เคยไปที่นี่มาแล้วหรือเปล่า? เขียนรีวิวให้คนอื่นอ่านได้นะ
ช่องทางการติดต่อ
เบอร์โทร
036581960